The Economic Survey เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่ามาตรการที่เข้มแข็งของรัฐบาลอินเดียช่วยทำให้การส่งออกเหล็กในช่วงเดือนเมษายนถึงธันวาคม 2017 ขยายตัว 52.9%
นาย Arun Jaitley รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินเดียกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวประกอบกับปัญหากำลังการผลิตส่วนในอุตสาหกรรมเหล็กโลกทวีความรุนแรง ทำให้อินเดียในช่วงปี 2014 – 2015 ต้องเผชิญหน้ากับการทะลักเข้ามาของเหล็กราคาถูกจากหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลีไต้ และยูเครน
การทุ่มตลาดเหล็กราคาถูกสร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตเหล็กภายในประเทศ ดังนั้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวรัฐบาลอินเดียได้ประกาศใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ามากมาย เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty) และการกำหนดราคานำเข้าขั้นต่ำ หรือ minimum import price (MIP) ในสินค้าเหล็กหลายชนิดเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2016
มาตรการดังกล่าวข้างต้นช่วยบรรเทาความเสียหายของผู้ผลิตเหล็กภายในประเทศและยังทำให้ยอดการส่งออกเหล็กกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2016 ถึงมีนาคม 2017
การใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ากอบกับราคาเหล็กทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโฉพาะช่วงหลังเดือนมิถุนายน 2017 ส่งผลให้การส่งออกเหล็กตั้งแต่เดือนเมษายนถึงธันวาคม 2017 ขยายตัว 52.9% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพียง 10.9%
ตามการรายงานของ Joint Plant Committee (JPC) พบว่าการส่งออกเหล็กสำเร็จรูปตั้งแต่เมษายนถึงธันวาคม 2017 เพิ่มขึ้น 52.9% อยู่ที่ 7.606 ล้านตัน จาก 4.975 ล้านตันในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2017 รัฐบาลอินเดียเริ่มประกาศใช้มาตรการมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty) ในสินค้าเหล็กหลายชนิด
ผลิตภัณฑ์ที่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่ม (Anti-dumping) ได้แก่ สินค้าหลอดและท่อทั้งที่ทำจากเหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเจือที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศจีน สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนทั้งชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กลวด และเหล็กแผ่นเคลือบสี เป็นต้น และผลิตภัณฑ์ที่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิมทุกเกรดและทุกชนิดที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศจีน เกาหลีใต้ สหภาพยุโรป แอฟริกาใต้ ไต้หวัน ไทย และสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ในเดือนพฤษภาคม 2017 รัฐบาลยังได้จัดทำนโยบายเหล็กฉบับใหม่ ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้มีการใช้เหล็กที่ผลิตได้ภายในประเทศ
นาย Rita Singh ประธานบริษัท Mesco Steel กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กอินเดียผู้ซึ่งเป็นประเทศที่มียอดการผลิตเหล็กเป็นอันดับที่ 3 ของโลกต้องได้รับการพัฒนา ยกระดับให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
การบริโภคเหล็กต่อหัวของประชากรต้องเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตเมืองและชนบท โดยเริ่มจากนโยบาย 'Make in India' ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้เองจะส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบันปริมาณการบริโภคเหล็กต่อหัวของประเทศอินเดียอยู่ที่ประมาณ 65 กิโลกรัมต่อตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 235 กิโลกรัมต่อคน ก็บ่งชี้ว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่มาก อย่างไรก็ตามรัฐบาลอินเดียตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการบริโภคเหล็กต่อหัวประชากรอินเดียเป็น 160 กิโลกรัม ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากการเพิ่มการบริโภคเหล็กภายในประเทศโดยการลงทุนมากมาย เช่น smart cities การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่แพง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมของประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยอุตสาหกรรมเหล็กอินเดียแต่ยังช่วยอุตสาหกรรมอื่นๆ มากมาย เช่น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น นาย Rita Singh กล่าว