จากกรณีตึกที่ทำการใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างได้พังถล่มลงมาหลังแผ่นดินไหวรุนแรงที่ประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้ทำให้สังคมเกิดข้อกังขาในหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องคุณภาพเหล็ก และเริ่มตื่นตัวกับกรณีเหล็กจีนเข้ามาตีตลาดเหล็กไทยมากขึ้น
และต่อไปนี้คือความเห็นจาก 2 ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมเหล็ก คือ นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และ นายกวินพัฒน์ นิธิเตชเศรษฐ์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ถึงสถานการณ์เหล็กไทย ปัญหาเหล็กไร้มาตรฐาน และผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์เหล็กไทยในปัจจุบัน
นายบัณฑูรย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวว่า ความท้าทายประการสำคัญคือปัญหากำลังการผลิตเหล็กส่วนเกินของจีน ในปัจจุบันกำลังการผลิตเหล็กของประเทศจีนทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศจีน ประมาณ 900 ล้านตันต่อปี จึงมีกำลังการผลิตส่วนเกินประมาณ 200 ล้านตันต่อปี ปริมาณการส่งออกสู่ตลาดโลกในปี 2567 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่กว่า 110 ล้านตัน เนื่องจากสถานการณ์ดีมานด์ของประเทศจีนยังไม่ดีขึ้นและประเทศจีนยังคงรักษาอัตราการผลิตในระดับสูงเกือบเต็มกำลังไว้เพื่อรักษาการจ้างงานในประเทศและรักษาความได้เปรียบเชิงขนาด และมุ่งส่งออกในระดับราคาที่ต่ำ ดังนั้นการไหลบ่าของผลิตภัณฑ์เหล็กจากประเทศจีนในลักษณะทุ่มตลาดก็จะยังคงเป็นประเด็นความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการส่งออกของจีน เช่น อาเซียนรวมทั้งประเทศไทย
ความท้าทายประการต่อมาคือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศชัดเจนที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ ดังนั้นหากมีสินค้าจากแหล่งต่างๆที่ไม่สามารถส่งเข้าไปยังสหรัฐฯได้ ก็อาจถูกระบายเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งไทย ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันทั้งด้านราคาและปริมาณ ซ้ำเติมสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ นอกจากจะต้องแข่งขันกับเหล็กนำเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยังต้องแข่งกับผู้ผลิตที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ตัวอย่างกรณีของเหล็กเส้น ที่เป็นเตาหลอมชนิด Induction furnace (IF) ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโรงงานเหล็กประเภท IF ในประเทศจีนถูกสั่งปิดกิจการทั้งหมดในปี 2560 เพื่อยุติปัญหาการควบคุมคุณภาพเหล็กและปัญหาการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันจึงมีโรงงาน IF ที่ได้ประกอบกิจการอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทั้งในแง่กำลังการผลิตส่วนเกิน การจ้างแรงงานต่างด้าว การแข่งขันทางด้านราคาอย่างรุนแรง เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมเข้มงวดกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และสินค้าด้อยคุณภาพ จึงทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งถูกดำเนินการทางกฎหมายซึ่งปรากฏเป็นข่าวจากสื่อมวลชนเป็นระยะ
“เรื่องนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กขอขอบคุณและให้กำลังใจ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม และทีมงานกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้ทุ่มเททำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่ถูกต้องต่างๆอย่างเข้มแข็งเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนอยู่ในขณะนี้”
เหล็กไร้มาตรฐานเสี่ยงตึกถล่ม
ด้านนายกวินพัฒน์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. ย้ำว่า “ต้นทุนที่ต่ำไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลดทอนคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัสดุที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และอุตสาหกรรมเหล็กเป็นเสาหลักของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม หากไม่ควบคุมให้มีมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยอาจต้องแลกด้วยต้นทุนที่สูงกว่าราคาถูกที่เห็นในวันนี้”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ จากแรงกดดันของการแข่งขันด้านราคาและกระแสการนำเข้าสินค้าเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาดภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อย ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากระบบเตาหลอมเหนี่ยวนำ หรือ Induction Furnace (IF) แม้ว่าเทคโนโลยี IF จะมีข้อดีในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำ แต่กลับมีข้อจำกัดในด้านการควบคุมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้เหล็กที่ได้มีความไม่สม่ำเสมอ และมีความเปราะ ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการนำไปใช้ในโครงสร้างสำคัญที่ต้องรองรับแรงและการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง จะเหมาะไปใช้ เช่น การทำรั้วบ้าน
ประเทศจีนซึ่งเคยมีการผลิตเหล็ก IF มากกว่า 100 ล้านตัน และในปี 2000 ได้มีคำสั่งปิดโรงงานเหล่านี้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี เพราะไม่สามารถควบคุมมลภาวะและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม จนมีตึกถล่มมากในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม โรงงาน IF จำนวนไม่น้อยที่ถูกปิดในประเทศจีน ได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศที่ยังไม่มีข้อจำกัดที่ชัดเจน เช่น ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งแตกต่างจากประเทศในอาเซียนอื่น เช่น มาเลเซีย ที่ไม่อนุญาตให้ใช้ระบบ IF ในการผลิตเหล็กเพื่อจำหน่ายในประเทศ
นอกจากกลุ่มเหล็กทรงยาวแล้ว ยังมีแนวโน้มที่ผู้ผลิตเหล็กจากประเทศจีนบางรายจะขยายการใช้เตา IF มาผลิต เหล็กทรงแบน ได้แก่เหล็กม้วนซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กโครงสร้าง เช่น ท่อเหล็ก เหล็กตัวซี และเหล็กแผ่น ซึ่งเป็นวัสดุหลักในงานโครงสร้างอาคารและโครงสร้างวิศวกรรมอื่นๆ หากไม่มีมาตรการควบคุมอย่างเป็นระบบ เหล็กทรงแบนจากเตา IF อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งยากต่อการตรวจสอบเมื่อถูกนำไปใช้งานจริง ซึ่งในโลกนี้การผลิตเหล็กม้วนดำ ไม่มีใครใช้เหล็กจากเตา IF มีเพียงแต่โรงงานเล็กๆในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ได้ถูกปิดไปหมดแล้ว แต่มีการย้ายฐานการผลิตมาในไทย
ประเทศไทยในฐานะประเทศเปิดรับการลงทุน ได้กลายเป็นเป้าหมายของการขยายฐานการผลิตของจีน โดยโรงงานหลายแห่งได้รับสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศจีน ซึ่งเป็นเครื่องจักรเก่า เทคโนโลยีเก่าที่สร้างมลพิษ หรือการยกเว้นภาษีนิติบุคคล เพื่อส่งเสริมการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรม บางกรณีโรงงานจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมีพฤติกรรมการนำเข้าสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากจีน แล้วแปรรูปเพียงเล็กน้อยในไทย ก่อนจะส่งออกต่อไปยังประเทศคู่ค้า เช่นสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตทางอ้อมของจีน
ภายใต้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการประกาศมาตรการขึ้นภาษีและตอบโต้ทางการค้าต่อสินค้าจากจีนอย่างเข้มงวด หากตรวจพบว่าสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยมีต้นทางหรือแหล่งกำเนิดจากจีน แม้จะผ่านการแปรรูปเพียงเล็กน้อย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะถูกพิจารณาให้อยู่ภายใต้มาตรการเหล่านี้.
แหล่งที่มาของข่าว : ไทยรัฐออนไลน์