เหล็กล้นตลาดงดให้บีโอไอ ‘รีดร้อน-ท่อข้อต่อ’โดนด้วย.

วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กล้นเกิน BOI เรียก 10 สมาคมเหล็ก ทบทวนนโยบายเหล็กใหม่ มีมติต้องหยุดให้การส่งเสริมประเภทกิจการเหล็กเป็นการชั่วคราว ทั้ง 6 ประเภทกิจการเดิมตามประกาศ ส.6/2567 แถมพ่วงรายการใหม่ “เหล็กแผ่นรีดร้อน-เหล็กแผ่นหนา-ท่อเหล็ก” จนกว่า อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) จะสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รายงานแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2568 คาดการณ์ปริมาณการใช้งานเหล็กของไทยจะอยู่ที่ 16.2 ล้านตัน ขณะที่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยลดลงจากปีก่อน 4.8% โดยปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว (Long Product อาทิ เหล็กเส้น-เหล็กแผ่น-เหล็กลวด) และเหล็กทรงแบน (Flat Steel) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6.1 ล้านตัน กับ 10 ล้านตันตามลำดับ ขณะที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเหล็กทรงยาวอยู่ที่ประมาณ 20,900 บาท/ตัน และเหล็กทรงแบนอยู่ที่ประมาณ 22,700 บาท/ตัน

ด้านการผลิตเหล็กไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 6.4 ล้านตัน จากการที่อุตสาหกรรมก่อสร้างที่ต้องใช้เหล็กทรงยาวขยายตัว ส่วนเหล็กทรงแบนแม้จะมีความต้องการใช้งานในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากเหล็กจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กของไทยตั้งแต่ปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 30-35% ของความต้องการใช้เหล็กในประเทศ และยังเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากปี 2559-2564 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 35-40% โดยการผลิตเหล็กในประเทศที่ลดลงนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate หรือ %CapU)” ในภาพรวมทั้งเหล็กกลางน้ำและเหล็กปลายน้ำ ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 60%

โดยเฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นเหล็กกลางน้ำ มีอัตราแค่ 32%CapU มาตั้งแต่ปี 2565 บางช่วงก็ต่ำกว่า 30%CapU ส่งผลให้ระดับวิกฤตของอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กไทยลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 35-40% ในปี 2559-2564

การผลิตเหล็กในประเทศที่ลดลงจากการคำนวณอัตราการใช้กำลังการผลิต %CapU โดยมีเหล็กบางประเภทถูกผลิตออกมาล้นเกินความต้องการ ขณะที่เหล็กบางประเภทผลิตต่ำกว่ากำลังการผลิตโดยรวมของอุตสาหกรรมมาก ส่งผลให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องกลับมาพิจารณานโยบายส่งเสริมการลงทุนในประเภทกิจการเหล็กใหม่ทั้งหมด ล่าสุดได้เรียก 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อขอความคิดเห็นในการปรับเปลี่ยนการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

งด BOI เหล็กรีดร้อน-ท่อเหล็ก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ BOI ได้เชิญผู้ผลิตอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเข้าหารือเพื่อรับฟังความเห็นถึงกรณีที่ BOI มีการปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ หลังจากที่มีกิจการเหล็กบางประเภทได้หยุดการส่งเสริมเป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบว่ามีสินค้าเหล็กที่ผลิตออกมาล้นตลาดส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะสินค้าเหล็กที่โอเวอร์ซัพพลาย (Oversupply) ที่มีมากกว่าเหล็กเส้นและเหล็กแผ่น ซึ่งเป็นการทยอยระงับการส่งเสริมการลงทุนมาแล้ว 2 รอบ

แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำงานอัพเดตกับภาคอุตสาหกรรมเหล็กมาโดยตลอดเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล็กแต่ละกลุ่มว่า “เป็นอย่างไร” เนื่องจากเหล็กมีหลากหลายประเภท ทั้งเหล็กก่อสร้าง เหล็กอุตสาหกรรม เหล็กเส้น เหล็กแผ่น รีดร้อน รีดเย็น ทุกสินค้ามีการผลิต การใช้ และความต้องการแตกต่างกัน ดังนั้น BOI จะต้องดูเป็นรายตัวสินค้าว่า สินค้าเหล็กประเภทใดที่ล้นตลาด สำหรับระยะเวลาของการหยุดส่งเสริมเป็นการชั่วคราวนั้นจะอยู่ที่ว่า เมื่อไรสถานการณ์กลับมาปกติ หรือมีดีมานด์มากกว่าซัพพลายก็สามารถกลับมาเปิดส่งเสริมการลงทุนใหม่ได้ ซึ่ง BOI ยังไม่ได้ถอดประเภทกิจการเหล็กออกจากบัญชีการส่งเสริมการลงทุน แต่จะพิจารณาตามสภาพตลาดเป็นหลัก

ทั้งนี้ ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ส.6/2567 ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ลงนามโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุน เรื่องการปรับปรุงประเภทกิจการในอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนการผลิตเหล็กขั้นกลางและขั้นปลายสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงออกประกาศให้แก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในประเภท 6 ประเภท คือ

1) กิจการผลิตเหล็กขั้นกลาง ได้แก่ Slab, Ingot, Billet และ Bloom อื่น ๆ ซึ่งได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม A4 จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าการผลิต Billet ไม่ให้การส่งเสริมกรณีโครงการลงทุนใหม่ แต่กรณีโครงการที่ดำเนินการอยู่เดิม สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมได้

2) กิจการผลิตเหล็กขั้นปลาย คุณภาพสูงชนิดเหล็กทนแรงดึงสูง (High Tensile Strength Steel) ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม A2 กรณีกิจการผลิตลวดเหล็ก (Wire) ต้องมีค่า Ultimate Tensile Strength (UTS) ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะปาสคาล (MPa) กรณีอื่น ๆ ต้องมีค่า Ultimate Tensile Strength (UTS) ไม่น้อยกว่า 700 เมกะปาสคาล (MPa)

3) กิจการผลิตเหล็กทรงยาวสำหรับงานอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเพลา เหล็กลวด และลวดเหล็ก ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการใหม่ แต่สามารถขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

4) กิจการผลิตเหล็กทรงยาวสำหรับงานก่อสร้าง ได้แก่ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเพลา เหล็กลวด และลวดเหล็ก ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กลวดที่ใช้ในงานก่อสร้างจะไม่ให้ส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่ขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

5) กิจการผลิตเหล็กทรงแบนสำหรับงานอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็กแผ่น ไร้สนิมรีดร้อนหรือรีดเย็น เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นรีดร้อน หรือรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบ ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กแผ่นรีดร้อนในงานอุตสาหกรรม จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่สามารถขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

และ 6) กิจการผลิตเหล็กทรงแบนสำหรับงานก่อสร้าง ได้แก่ เหล็กแผ่น ไร้สนิมรีดร้อนหรือรีดเย็น เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นรีดร้อน หรือรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบ ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กแผ่นรีดร้อนในงานก่อสร้าง จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่สามารถใช้สิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

ตามประกาศที่ ส.6/2567 BOI จะหยุดในการส่งเสริมการลงทุนเป็นการชั่วคราว เพื่อทำการทบทวนว่า รายการใดจะหยุดให้การส่งเสริมการลงทุนเป็นการถาวร รวมไปถึงการพิจารณาประเภทสินค้าผลิตภัณฑ์เหล็กชนิดอื่น ๆ ด้วย ส่วนในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนครั้งล่าสุด (บอร์ด BOI) ที่ประชุมมีมติให้งดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม (ประกาศที่ ส.6/2567) ในกิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และกิจการผลิตท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

CapU ต่ำ 30% เลิกให้ BOI
นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวในภาพรวมถึงการทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ประเภทกิจการเหล็ก “สถาบันเห็นด้วยกับทาง BOI” เพราะปัจจุบันสินค้าเหล็กมีปัญหาเรื่องโอเวอร์ Capacity รวมถึงสงครามการค้า การขยายกำลังการผลิตจนเกินตัวจะเป็นอันตรายเหมือนที่ปรากฏในระดับโลก อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีเหล็กหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล็กคุณภาพสูง

สำหรับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เหล็กสำหรับการก่อสร้างสมัยใหม่ในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือเหล็กที่มีความแข็งแรงและเบาขึ้นสำหรับการผลิตยานพาหนะสมัยใหม่ ซึ่งถ้าเป็นสินค้าที่ช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือสินค้าเหล็กที่รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในส่วนนี้เชื่อว่า BOI ยังสามารถพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนได้ แต่ BOI ต้องควบคุมและลดการส่งเสริมการลงทุนสินค้าเหล็กที่ล้นตลาดอยู่แล้ว “ต้องถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่จะใช้กับอุตสาหกรรมเหล็กต่อไป” นายวิโรจน์กล่าว

ด้าน นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ทาง 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้เข้าไปให้ความคิดเห็นถึงการทบทวนนโยบายส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเหล็กกับ BOI โดยสมาชิกสมาคมมีการผลิตเหล็กครอบคลุมทั้งเหล็กขั้นกลาง-ขั้นปลาย มีบางสมาคมอย่างในกลุ่มผู้ผลิตท่อเหล็กให้ความเห็นไม่ขอรับส่งเสริมการลงทุนอีก

บางสมาคมเห็นว่า ประเภทกิจการที่ทำการผลิตอยู่ในปัจจุบันไม่จำเป็นที่จะต้องให้การส่งเสริมการลงทุนอีกต่อไปแล้ว เพราะมีการผลิตล้นเกิน (Oversupply) แต่ต้องเปิดให้การส่งเสริมเฉพาะเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่าง การผลิตเหล็กเคลือบกระป๋องในปัจจุบันไม่ต้องให้การส่งเสริมแล้ว แต่ถ้ามีเทคโนโลยีในการเคลือบแบบใหม่ต้องเปิดให้ส่งเสริมการลงทุนต่อ หรืออย่างเหล็กเส้นก็ได้หยุดให้การส่งเสริมการลงทุนมานานแล้ว

แหล่งข่าวในวงการเหล็กกล่าวว่า ที่ผ่านมา BOI ให้การส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเหล็กตามเกณฑ์ที่ประกาศออกมา หรือเรียกว่า “ผู้ประกอบการรายใดเข้าเกณฑ์ขอ สามารถยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนได้” โดย BOI ไม่ได้พิจารณาในกรณีที่ว่า ให้การส่งเสริมการลงทุนไปแล้วปริมาณเหล็กที่ผลิตออกมาล้นตลาดหรือไม่ หรือขอรับส่งเสริมการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่นำไปผลิตเป็นสินค้าเหล็กอีกประเภทหนึ่งในกรณีของโรงงานผลิตเหล็กเส้นจีนที่มีปัญหาเรื่องมาตรฐานเหล็กอยู่ในปัจจุบัน

“มีข้อเสนอว่า ถ้าการผลิตเหล็กรายการใดในปัจจุบันที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate หรือ %CapU) ต่ำกว่า 30% ก็ไม่มีความจำเป็นที่ BOI จะให้การส่งเสริมการลงทุนอีก เพราะเหล็กประเภทนั้นกำลังล้นตลาด เท่ากับเป็นการเพิ่มจำนวนโรงงานผู้ผลิตขึ้นมาอีก ซึ่งการคำนวณ %CapU 35-40% ในอดีตทางกระทรวงอุตสาหกรรมเคยใช้เป็นเกณฑ์ในการห้ามตั้งขยายโรงงานเหล็กเส้นมาแล้ว”… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1814359

แหล่งที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

© สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย