ในท่ามกลางสงครามการค้าที่แหลมคม ขณะที่เศรษฐกิจโลกซบเซา แต่ทางด้านกลุ่มทุนต่างชาติได้ยกระดับการเคลื่อนทัพสินค้าดาหน้าเข้ามายึดตลาดในไทย ทำให้ผู้ผลิตไทยหลายธุรกิจต้องล้มทั้งยืน
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในการรับมือสงครามการค้า
และสู้กับกองทัพเหล็กนำเข้าที่บุกเข้ามารุกเข้ม ได้เปิดเผยว่าภาคเอกชนกังวลยิ่งว่าหากหน่วยงานภาครัฐยังทำงานเชิงรับและล่าช้า ประเทศไทยจะเป็น “เหยื่อที่เหลือน้อย” ในสงครามการค้าโลก จนกระทั่งระบบเศรษฐกิจถดถอยและภาคธุรกิจของประเทศไทยไม่สามารถไปต่อได้
นายนาวากล่าวว่า สงครามการค้าโลกได้เริ่มขึ้นที่สินค้าเหล็กก่อนตั้งแต่ปี 2561 ในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ 1.0 จนบัดนี้ชัดเจนแล้วว่าสงครามการค้าไม่ได้จำกัดวงเพียงสินค้าเหล็กเท่านั้น โดยในช่วง 7 ปีผ่านมา สงครามการค้าได้ขยายวงรุนแรงไปยังสินค้าอื่นๆกระทบทั่วโลก จนนานาประเทศได้เร่ง “สร้างรั้วสูง กำแพงหนา” ด้วยการออกมาตรการมากมายเพื่อปกป้องการทุ่มตลาดจากสินค้านำเข้ามายังประเทศของตน
แต่ในช่วงดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทยกลับยกเลิกการใช้มาตรการ Safeguard
นายนาวาย้ำว่า อุตสาหกรรมเหล็กไทยโดนภัยสงครามการค้าโลกมาก่อน และไม่ต้องการให้อุตสาหกรรมอื่นๆของประเทศต้องเผชิญมหาภัย เช่นนี้ ประเทศไทยเรายังใช้มาตรการปกป้องธุรกิจ และอุตสาหกรรมภายใน ประเทศไม่เข้มแข็งพอ มีสินค้าหลายอย่างทุ่มตลาดเข้าประเทศไทยด้วยเล่ห์กลต่างๆ
ทั้งนี้ ขอขอบคุณรัฐบาลของ นายก รัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ตระหนักถึงความจำเป็นในการปกป้องธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆของประเทศไทย โดยรับข้อเสนอจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยนั่นคือ
2.กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้มงวดในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไปของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเฝ้าระวังจำนวนหลายรายการที่มีการสวมสิทธิ์นำสินค้าต่างชาติมาอ้างเป็นสินค้าส่งออกจากไทย
และ 3.การส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand : MiT) โดย ส.อ.ท.ให้การรับรอง โดยนอกเหนือจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว ให้ส่งเสริมขยายวงไปยัง (1) โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (2) การซื้อสินค้า MiT ในภาคเอกชน โดยกระทรวงการคลังส่งเสริมด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีเงินนิติบุคคล (3) การกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า MiT ที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ (4) การกำหนดสัดส่วนการใช้สินค้า MiT เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการส่งเสริมการลงทุนโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
“ภาคเอกชนยังขอชื่นชมกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้ดำเนินการมาตรการ “สุดซอย” บังคับใช้กฎหมายทั้งด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และการควบคุมโรงงานโดยเข้มงวด ช่วยสกัดกั้นสินค้าด้อยคุณภาพจากทั้งนำเข้าและที่ผลิตในประเทศ สร้างความปลอดภัยต่อประชาชนและแรงงาน ตลอดจนสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายด้วย”
หากเจาะเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก ปัญหาใหญ่คือ วิกฤติกำลังการผลิตเหล็กที่มีมากเกินไป (Excess Steel Production Capacity) โลกมีความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูป (Finished Steel) ปี 2567 รวม 1,751 ล้านตัน ในขณะที่มีกำลังการผลิตเหล็กมากถึง 2,324 ล้านตัน จึงใช้กำลังการผลิตเพียง 75% มีกำลังการผลิตส่วนเกินอีก 25% หรือเหลือมากถึง 573 ล้านตันต่อปี
ดังนั้น ประเทศที่มีกำลังการผลิตล้นเหลือ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งมีกำลังการผลิตเหล็กราว 1,300 ล้านตันต่อปี ผู้ผลิตเหล็กจีนจึงทุ่มส่งออกสินค้าเหล็กที่ผลิตเกินไปยังตลาดต่างประเทศซึ่งหละหลวมและล่าช้าในการใช้มาตรการทางการค้า (Trade Measures) โดยช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กมากถึง 37.9 ล้านตันแล้ว เพิ่มขึ้นถึง +8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดใหญ่สุดคืออาเซียน
นายนาวาย้ำว่า การปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยยังเข้มแข็งน้อยกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วยกัน เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนปริมาณสินค้าเหล็กขั้นปลาย (Finished Steel) ที่นำเข้าเทียบกับสินค้าเหล็กที่ผลิตเองในแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าเหล็กมากสุดถึง 65% ทำให้ประเทศไทยใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กลดลงเรื่อยมาทุกปี จนเหลือเพียง 28% ในปี 2567
“สินค้าเหล็กที่สูญหายไปจากการใช้กำลังการผลิต ภายในประเทศไทยที่ลดลงในช่วง 8 ปีนี้ สะสมรวมกันกว่า 2 แสนล้านบาท หลายโรงงานเหล็กไทยต้องปิดตัวลง หรือถ้าประเมินเป็นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากห่วงโซ่การผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ ก็ยิ่งเสียหายทวีคูณยิ่งขึ้น”.
แหล่งที่มา.ไทยรัฐ