ธุรกิจนำเข้าเศษเหล็กป่วน ค้างท่าเรือเหตุปนซากอิเล็กทรอนิกส์…

“มิลล์คอน” โดนหางเลข พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ทำบริษัทลูกธุรกิจรีไซเคิลสะดุด โดนเบรกนำเข้า หลังพบเศษซากอิเล็กทรอนิกส์ปะปน สินค้าค้างเติ่งอยู่ท่าเรือกว่า 7 เดือน เจอค่าปรับบาน แถม ก.อุตฯสั่งให้ส่งกลับประเทศต้นทาง กรมโรงงานฯชี้ผิดตามข้อ กม. จ่อเรียก ก.พาณิชย์-ก.ทรัพย์ฯ หารือก่อน

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายหลังการประกาศกลับมาเดินเครื่องการผลิตเหล็กเส้นอีกครั้ง หลังจำเป็นต้องปิดโรงรีดเหล็กไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์เหล็กในประเทศที่ถูกทุ่มตลาดอย่างหนัก บวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มมิลล์คอนจะเปิดไลน์การผลิตแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ภาพรวมเหล็กทั้งตลาดและเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น

“อย่างน้อยก็ทำให้ผู้บริโภครับรู้เรื่องคุณภาพของการใช้เหล็กที่มาจากเตาหลอมแบบ EF ในขณะที่ทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เข้มงวดในการออกมาตรการควบคุมสินค้าเหล็ก โดยเฉพาะการทยอยบังคับใช้มาตรฐานบังคับ นอกจากนี้ ในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ผ่านมาภายใต้การทำงานของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และทีมสุดซอย ได้เข้มงวดในการตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็ก ผู้นำเข้ารวมถึงผู้จำหน่าย ทำให้จับกลุ่มเหล่าผู้ประกอบการที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นจำนวนมาก”

แต่ในขณะเดียวกัน ภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2562 กลับมีข้อที่ยังขัดแย้งกันในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะการนำเข้าเศษเหล็กที่เป็นรถมือสอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในธุรกิจรีไซเคิลของบริษัทลูก (บริษัท เวสท์เทค เอ็กโพเนนเชียล จำกัด) กลับพบปัญหาว่า ภายใต้การนำเข้าเศษรถดังกล่าวพบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปะปนอยู่ ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้ติดอยู่ในเครื่องยนต์รถเก่าอยู่แล้ว สัดส่วนไม่ถึง 1% ของปริมาณเศษเหล็กทั้งหมด แต่ด้วยกฎหมายไม่ได้แยกสถานะหรือความชัดเจนที่มากพอ ส่งผลให้การตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือ จากกรมศุลกากร พบว่าบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

“ซึ่งในตัวกฎหมายเองควรต้องดูที่เจตนาและธุรกิจ การเหมารวมจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ ซึ่งการตีความของหน่วยงานราชการแจ้งว่า ทางเราไม่สามารถนำเข้าได้และสั่งการให้ส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ทั้งหมด 2,000 ตัน”

สำหรับบริษัท เวสท์เทค เอ็กโพเนนเชียล จำกัด ดำเนินธุรกิจนำเข้ารถเก่าเพื่อนำมาบดย่อย เป็นระยะเวลากว่า 20 ปี การถูกคำสั่งดังกล่าวส่งผลให้สินค้าลอตนี้ค้างอยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลากว่า 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ ยังเกิดค่าใช้จ่ายจากค่าปรับของสายเรือและค่าพื้นที่ในท่าเรือ มูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าหลายสิบล้านบาทมากกว่าที่นำเข้ามา อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันถึงเจตนาในการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาหาทางออก รวมถึงคำสั่งอย่างเป็นทางการ เพื่อชี้แจงต่อหน่วยงานต้นทางคือประเทศต้นทาง หากบริษัทผิดก็จะยินยอมส่งสินค้ากลับต้นทาง

นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ไทยพบว่ามีการนำเข้าเศษชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเป็นจำนวนมาก และได้ขยายผลสู่การจับกลุ่มโรงงานประเภทประกอบกิจการรีไซเคิล ซึ่งส่วนใหญ่มีกระบวนการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ดังนั้น เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 กระทรวงพาณิชย์จึงมีประกาศ เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2562 ที่ระบุไว้ว่า ห้ามนำเข้าซากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

แม้ว่าจะมีปริมาณมากหรือน้อยก็ตาม หากตรวจพบจำเป็นจะต้องส่งกลับ ซึ่งที่ผ่านมามีบางบริษัทที่ทำผิดกฎหมายและจำเป็นต้องส่งสินค้ากลับ

สำหรับกรณีของบริษัทมิลล์คอน ถ้าดูตามกฎหมายถือว่าผิด เพราะต่อให้เจอเศษอิเล็กทรอนิกส์แค่ 1 ชิ้น ก็ถือว่าผิด สำหรับทางออก จำเป็นต้องเรียกกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้ามาหารือก่อน เนื่องจากประกาศการนำเข้าเรื่องดังกล่าว และการดำเนินธุรกิจด้านรีไซเคิลมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1893355

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :ประชาชาติ

นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

© สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย