รัฐบาลจีนมีนโยบาย ในการลดการผลิตเหล็กภายในประเทศลง ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่า จีนจะลดการส่งออกเหล็กไปตีตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่า
ตรงกันข้าม หากดูจากสถิติการส่งออกเหล็กมายังประเทศไทยในขณะนี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ 2 กูรูวงการอุตสาหกรรมเหล็กออกมาสะท้อนมุมมอง ข้อกังวล และทิศทางปี 2569 ไว้อย่างน่าสนใจ
นำเข้าพุ่งไม่หยุดกระทบหนัก
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ไทยผลิตเหล็กได้ 4.36 ล้านตัน ส่งออก 0.97 ล้านตัน นำเข้าเหล็ก 7.04 ล้านตัน หรือนำเข้าเกือบ 2 ใน 3 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยเฉพาะเหล็กจากจีนที่มีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมด

ทั้งนี้ราคาเฉลี่ยของเหล็กนำเข้าเหล็กลดลงถึงราว 15% ทำให้ผู้ประกอบการในไทยหลายรายยังต้องเผชิญกับภาวะขาดทุน ขาดสภาพคล่อง และบางรายถึงขั้นต้องหยุดการผลิตแล้ว
ในประเทศจีนเอง การบริโภคเหล็กดิบช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 6% แต่มีการส่งออกถึง 75.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 20% และมีแนวโน้มจะทำลายสถิติสูงสุดของการส่งออกเหล็กของจีนที่ทำไว้ในปีก่อนที่ 117 ล้านตัน การทุ่มตลาดยังคงมีอยู่ในแนวโน้มที่สูงขึ้น คาดการณ์สถานการณ์จะยังไม่ดีขึ้นในปีหน้า แม้ในปีนี้รัฐบาลจีนได้ประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถึงนโยบายจะลดการผลิตเหล็กลง และตามด้วยประกาศแผนในเดือนสิงหาคมห้ามเพิ่มกำลังการผลิต
แต่ในทางปฏิบัติคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานที่จะลดผลผลิตส่วนเกิน เนื่องการบริโภคในประเทศจีนยังมีแนวโน้มลดลงทุกปี ดังนั้นปัญหาการทุ่มตลาดจากผลผลิตเหล็กส่วนเกินจะยังคงมีอยู่ต่อไป และด้วยสถานการณ์กำลังการผลิตเหล็กส่วนเกินของทั้งโลกในปัจจุบัน การใช้มาตรการการทางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ กับสินค้าเหล็กจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกรณีสหรัฐอเมริกาได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจาก 25% เป็น 50% ภายใต้กฎหมายความมั่นคง Section 232 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกท่อเหล็ก เหล็กเคลือบ เหล็กรีดเย็น และผลิตภัณฑ์จากเหล็กอื่น ๆ ของไทยที่เคยไปสหรัฐ ขณะนี้ท่อเหล็กยังส่งออกได้บ้าง แต่ด้วยมาร์จิ้นที่ตํ่ามาก การส่งออกเหล็กรีดเย็นกับเหล็กเคลือบยังหยุดชะงัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเหล็กและเหล็กเคลือบ เช่น ตู้เหล็ก ชั้นวางของ เฟอร์นิเจอร์เหล็ก ยังส่งออกได้
แหล่งที่มา.ฐานเศรษฐกิจ

